นวัตกรรมเสริมความงามที่ได้รับความนิยมและทุกคนรู้จักกันดีทั้ง ศัลยกรรม ฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ การฉีดสารเติมเต็มในแต่ละส่วนของใบหน้าและร่างกาย เลเซอร์ และร้อยไหม ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมเสริมความงามที่คนส่วนใหญ่ให้ความนิยมเป็นอย่างมาก การร้อยไหมด้วยเทคนิคที่ถูกต้องจะก่อให้เกิดเป็นเส้นไยอิลาสตินที่ช่วยยืดหยุ่นประคองผิวไว้ เช่น หางตาที่ตกหย่อนลงจะดึงจากจุดยึดบริเวณหางตาที่ตกส่วนล่างไปส่วนยึดข้างบนทำให้ดวงตาเปิดและดูดีขึ้น
สาเหตุหนังตาตกเกิดจากอะไร
สภาวะหนังตาตก เกิดจากกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ หรือด้วยอายุที่มากขึ้น โดยธรรมชาติแล้วหนังตาบนจะหย่อนตัวลงมากกว่าปกติ ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการทำตาสองชั้น แต่หากมีหนังตาตกมากเกินไปสามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดแก้หนังตาตก เป็นการผ่าตัดแก้ไขกล้ามเนื้อตานอก หากหนังตาไม่หย่อนจนเกินไป ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยเทคนิคศัลยกรรม เช่น การยกคิ้ว การเลเซอร์และการร้อยไหม ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเลือกการร้อยไหมเพราะมีราคาที่ถูกกว่าการศัลยกรรมนั่นเอง
ทั้งนี้จะสังเกตได้ว่าบุคคลที่ผ่านการร้อยไหมที่หนังตามาสภาพผิวจะถูกฟื้นฟู ยกกระชับให้ดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะการใช้เส้นไหมละลายร้อยผ่านเข็มลงไปใต้ชั้นผิวหนังและใช้กล้ามเนื้อเพื่อยึดเกาะเส้นไหมให้อยู่ได้นาน และเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 6-18 เดือนเส้นไหมก็จะละลายไปโดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของเส้นไหมที่ใช้ด้วยเพราะเส้นไหมแต่ละประเภทนั้นจะใช้ระยะเวลาในการละลายไม่เท่ากัน
ประเภทและอายุการใช้งานของเส้นไหมละลาย
วัสดุของเส้นไหมที่แพทย์นิยมใช้และมีความปลอดภัยต่อคนไข้หลัก ๆ มีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่
- PCL (Polycaprolactone) เส้นไหมประเภทนี้จะมีสีขาวขุ่น มีความยืดหยุ่นสูงที่สุดและเส้นใหญ่ที่สุด ไหมประเภทนี้จะใช้เวลาในการละลายจนหมดภายใน 18-24 เดือน
- PLLA (Polylactate) เส้นไหมประเภทนี้จะมีเส้นสีขาวใส ขาดความยืดหยุ่น และอาจจะพบปัญหา ไหมขาด ไหมทะลุได้บ่อย ไหมประเภทนี้จะใช้เวลาในการละลายจนหมดภายใน 12-18 เดือน
- PDO (Polydioxanone) เส้นไหมประเภทนี้จะมีเส้นสีน้ำเงิน มีความยืดหยุ่นสูง และเป็นที่นิยมที่การแพทย์เลือกใช้มากที่สุด ไหมประเภทนี้จะใช้เวลาในการละลายจนหมดภายใน 4-6 เดือน
ส่วนมากไหมที่นิยมนำมาใช้ จะเป็นไหมที่ผลิตจากโพลีไดอ๊อกซาโนน (polydioxanone) ซึ่งเป็นไหมที่ใช้ในการเย็บแผลได้ ตามมาตรฐานของการทำศัลยกรรมตกแต่ง ไม่มีปฏิกิริยาต่อผิวหนัง ผ่านการรับรองความปลอดภัย จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทั้งในและต่างประเทศ สามารถสลายได้เองภายใน 8 เดือน ไหมที่ดึงหน้าได้ดีที่สุดคือไหมที่มีลักษณะเงี่ยงใหญ่ และมีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งจะเป็นที่นิยมใช้ในทุก ๆ คลินิก ทั้งนี้ในส่วนของราคาก็อาจจะแตกต่างกันไปตามคุณสมบัติของเส้นไหมและความพึงพอใจของลูกค้าและแพทย์ที่เลือกใช้อีกด้วย
ประเภทเส้นไหมไม่ละลาย
- ไหมที่ทำจากพลาสติกประเภท “พอลิโพไพรลีน” (polypropylene) มั่นใจได้ว่าสามารถนำมาใช้ได้ เนื่องจากทางการแพทย์นิยมใช้พลาสติกชนิดดังกล่าวเพื่อทำไหมเทียมในการเย็บแผล หรือเป็นวัสดุทางการแพทย์อื่น ๆ ได้ ด้วยคุณสมบัติที่ทนความร้อนในการฆ่าเชื้อถึง 100ºc (Sterilization) ไหมดังกล่าวถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายก้างปลา เพื่อการดึงรั้งมัดกล้ามเนื้อบนผิวหน้าให้ยกกระชับ ในปัจจุบันพบว่าการใช้ไหมชนิดนี้มีผลข้างเคียงมากมาย ทั้งอาการอักเสบบริเวณปมของไหม หรือการพบเส้นไหมแทงออกมาบริเวณผิวหน้าและยังทำให้อิลาสตินใต้ผิวหนังบางลงอีกด้วย
- ไหมที่ทำจากโลหะ ไหมทองคำที่มีความบริสุทธิ์ ทางการแพทย์เชื่อว่าทองคำสามารถลดอาการอักเสบในชั้นเนื้อเยื่อของผิว และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตได้ แต่เส้นไหมทองคำนั้นไม่สามารถนำมาทำเป็นปมในการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อการยกกระชับได้ ด้วยราคาที่สูงและคุณสมบัติของทองคำที่ไม่ทนต่อความร้อน ผู้ใช้จึงเกิดความยุ่งยากในการระวัง ไหมชนิดนี้จึงเสื่อมความนิยมลงไป
ข้อดีของการร้อยไหม
- ไม่ต้องวางยาสลบและไม่ต้องผ่าตัด
- ค่าใช้จ่ายราคาไม่แพงเหมือนการผ่าตัด
- ใช้ระยะเลาเวลาทำไม่นาน สะดวกและรวดเร็ว
- การร้อยไหมจะเห็นผลหลังทำทันที
- จะไม่มีรอยแผลขนาดใหญ่ให้เป็นที่กังวลใจ และใช้เวลาการพักฟื้นไม่นาน
- มีผลข้างเคียงเล็กน้อยและมีอาการบวมช้ำหลังทำไม่มาก
การร้อยไหมจะเห็นผลชัดเจนในช่วงประมาณ 2 เดือนขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของผู้ใช้อีกด้วย เพราะสภาพผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกันผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจจะแตกต่างกันไป
ข้อเสียของการร้อยไหม
- ผิวของเส้นไหมจะมีเงี่ยงที่ทำหน้าที่คล้ายตะขอสำหรับดึงผิวไปในทิศที่ต้องการ ถ้าร้อยไหมด้วยเทคนิคที่ไม่ถูกต้องหรือร้อยตื้นเกินไป ก็จะเกิดรอยบุ๋มขึ้นตามแนวที่ร้อยไหมได้
- ไหมละลายมีอายุ 4 เดือน ถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของเส้นไหม แต่เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 6-8 เดือน เส้นไหมที่เกาะผิวหนังก็จะหลุดออกมาก่อนเวลา เส้นไหมอาจจะไม่คงทนเสมอไป
- หากเป็นไหมพลาสติกหรือไหมโลหะ ตัวโลหะจะดูดความร้อนจากการทำ X-ray, MRI, เครื่องสแกนต่างๆ และจะทำให้ผิวเกิดการไหม้ได้
- เส้นไหมจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใย คอลลาเจน และ อิลาสติน ขึ้นมา แต่ถ้าซ้อนทับกันมากเกินไป และอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องก็กลายเป็น พังผืด จนดึงรั้งผิวให้ผิดรูปไป
- การร้อยไหมมีโอกาสทำให้ เกิดอาการผิวหนังบวมแดง เนื่องจากแพ้ไหมละลายได้ แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย กรณีส่วนนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะบางคน
- การร้อยไหมใช้ไหมที่ไม่ละลาย จะมีสารตกค้างอยู่ในร่างกาย และเป็นอันตรายในระยะยาว ผู้ใช้จึงต้องปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางก่อนที่จะทำเสมอ
ข้อควรระวังหลังการร้อยไหมยกหางตา
- ทานยาตามแพทย์ให้มาเป็นประจำ เพื่อลดอาการบวม ลดการอักเสบ และการติดเชื้อ
- ควรระวังไม่ให้เกิดการกดทับตรงบริเวณหางตาที่เพิ่งร้อยไหมมาใหม่ เช่น นอนคว่ำ หรือขยี้ดวงตาแรง ๆ เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบขึ้นมาได้
- ในช่วงแรกของการรักษาแผลควรงดเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ อาหาทะเล และอาหารประเภทหมักดองต่าง ๆ
- หากมีอาการเจ็บปวด บวมช้ำ สามารถใช้น้ำแข็งหรือเจลเย็นประคบเพื่อลดอาการเจ็บปวด แต่หากมีอาการปวดรุนแรงควรรีบไปพบแพทย์โดยทันที
- ไม่ควรทำเลเซอร์ นวดหน้า อบไอน้ำ หรือกิจกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวกับความร้อนและการใช้ความรุนแรงตรงบริเวณที่ร้อยไหม
การเลือกสถานที่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ต้องเตรียมหาข้อมูลไว้เพราะปัจจุบันนี้มีหลากหลายที่ที่บริการในด้านนี้อยู่มาก สำหรับคนที่จะทำครั้งแรกและยังไม่มีประสบการณ์จะต้องคำนึงถึงเป็นอย่างแรกคือเรื่องของความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และประสบการณ์ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ตามสถานที่นั้น ๆ เพราะหากมีข้อมูลไม่มากพอแล้วตัดสินใจทำก็อาจจะส่งผลเสียในอนาคตได้ หรือดูรีวิวตามเว็บไซต์ต่าง ๆ หรือ Youtuber ที่รีวิวเรื่องการร้อยไหม และคำนวณเรื่องค่าใช้จ่ายออกมาก่อนก็อาจจะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงอายุใดก็คงอยากจะดูดี ดูสวยเป็นธรรมชาติ และการร้อยไหมก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จะช่วยลดริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า ให้กลับมาเต่งตึงเหมือนย้อนเวลากลับไปเป็นวัยรุ่น แม้กระทั่งดวงตาที่เปรียบได้ว่าเป็นหน้าต่างของหัวใจเมื่ออายุมากขึ้นหนังตาก็หย่อนคล้อยลงแต่ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยนวัตกรรมการร้อยไหมยกหางตาที่ทำได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว แต่ก็ต้องศึกษาให้มั่นใจว่าปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อตัวเองในอนาคต